Learning 4.
**อาจารย์ให้นักศึกษาทุกคนได้ทำแอนิเมชันจากหนังสือพลิกภาพ
(Flipbook หรือ สมุดดีด)
เทคนิคการทำแอนิเมชันด้วยการวาดภาพทีละเฟรมลงบนกระดาษ
แล้วนำมาเย็บจนเป็นเล่ม จากนั้นใช้วิธีกรีด หรือพลิกให้ดูแต่ละหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เห็นภาพเคลื่อนไหว เรียกว่าFlipbook ค่ะ ที่เราเห็นภาพต่อเนื่องเคลื่อนไหวได้ เพราะแต่ละภาพจะพลิกผ่านสายตาอย่างรวดเร็ว (30 ภาพต่อวินาที) สมองยังไม่ทันลืมภาพเก่า ภาพใหม่ก็มาปรากฎแทนที่ ก็เลยเห็นเป็นการเคลื่อนไหวขึ้นมาได้นั่นเองค่ะ
--->ฟลิ๊บบุ๊ค (Flipbook) หรือเรียกง่ายๆว่า สมุดดีด คือการวาดภาพเคลื่อนไหวอย่างง่าย ลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ แล้วนำภาพที่วาดทั้งหมดมาเย็บต่อกันเป็นเล่ม การสร้าง Flipbook นี้เป็นการศึกษาทดลองการสร้างภาพเคลื่อนไหวในขั้นพื้นฐานก่อนที่จะนำไปประยุกต์ เช่น การศึกษาการกระโดดของคน ,การเตะ ,การต่อย เป็นต้น เลือกทำเพียงช่วงหนึ่งของกิจกรรมนั้นๆ การทำFlipbook คือการนำหลักทฤษฎีภาพติดตามาใช้ เมื่อเราเปิดภาพด้วยความเร็ว(ดีดสมุด) จะทำให้เราเห็นว่า ภาพนิ่งทุกภาพที่วาดนั้น เกิดการเคลื่อนไหวได้ กระดาษที่ใช้ทำ Flip Book ควรเป็นกระดาษปอนด์ที่มีความหนาพอควร เพื่อความคงทนในการเก็บรักษา
แล้วนำมาเย็บจนเป็นเล่ม จากนั้นใช้วิธีกรีด หรือพลิกให้ดูแต่ละหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เห็นภาพเคลื่อนไหว เรียกว่าFlipbook ค่ะ ที่เราเห็นภาพต่อเนื่องเคลื่อนไหวได้ เพราะแต่ละภาพจะพลิกผ่านสายตาอย่างรวดเร็ว (30 ภาพต่อวินาที) สมองยังไม่ทันลืมภาพเก่า ภาพใหม่ก็มาปรากฎแทนที่ ก็เลยเห็นเป็นการเคลื่อนไหวขึ้นมาได้นั่นเองค่ะ
..การเปิดสมุดดีด..
|
..การเปิดสมุดดีด.. |
--->ทฤษฎีว่าด้วยการเห็นภาพติดตา (Persistence of Vision) การที่เราเห็นภาพหมุน ( Thaumatrope ) เป็นรูปนกอยู่ในกรงได้นั้น สามารถอธิบายได้ด้วย ทฤษฎีว่าด้วยการเห็นภาพติดตา ซึ่งมีหลักการดังนี้
Dr. John Ayrton Paris |
หลักการที่อธิบายถึงการมองภาพต่อเนื่องของสายตามนุษย์ หรือทฤษฎีการเห็นภาพติดตา คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2367 (ค.ศ. 1824) โดยนักทฤษฎีและแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ Dr. John Ayrton Paris ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายถึงการมองเห็นภาพต่อเนื่องของสายตามนุษย์ไว้ว่า ธรรมชาติของสายตามนุษย์ เมื่อมองเห็นภาพใดภาพหนึ่ง หลังจากภาพนั้นหายไป สายตามนุษย์จะยังค้างภาพนั้นไว้ที่เรติน่าในชั่วขณะหนึ่ง ประมาณ 1/15 วินาที และหากในระยะเวลาดังกล่าวมีภาพใหม่ปรากฏขึ้นมาแทนที่สมองของมนุษย์จะเชื่อม โยงสองภาพเข้าด้วยกัน และหากมีภาพต่อไปปรากฏขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็จะเชื่อมโยงภาพไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าชุดภาพนิ่งที่แต่ภาพนั้นมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือเป็นภาพที่มี ลักษณะขยับเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันอยู่แล้ว เมื่อนำมาเคลื่อนที่ผ่านตาเราอย่างต่อเนื่องในระยะเวลากระชั้นชิด เราจะสามารถเห็นภาพนั้นเคลื่อนไหวได้
อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับประการหนึ่ง ก็คือ ก่อนที่จะเปลี่ยนภาพใหม่จะต้องมีอะไรมาบังตาเราแว่บหนึ่ง แล้วค่อยเปิดให้เห็นภาพใหม่มาแทนที่ตำแหน่งเดิม โดยอุปกรณ์ที่บังตาคือซัตเตอร์ (Shutter) และระยะเวลาที่ซัตเตอร์บังตาจะต้องน้อยกว่าเวลาที่ฉายภาพค้างไว้ให้ดู มิฉะนั้นจะมองเห็นภาพกระพริบไป ดังนั้น เมื่อเอาภาพนิ่งที่ถ่ายมาอย่างต่อเนื่องหลาย ๆ ภาพมาเรียงต่อกัน แล้วฉายภาพนั้นในเวลาสั้น ๆ ภาพนิ่งเหล่านั้นจะดูเหมือนว่าเคลื่อนไหว หลักการนี้จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว (Animation) และภาพยนตร์ในระยะเวลาต่อมา
#อาจารย์ให้นำเสนอ ของเล่นวิทยาศาสตร์ของตนเองที่เตรียมมาพร้อมอธิบายConceptของเล่นที่ตนเองเลือกด้วย
#อาจารย์เปิด VDO อากาศมหัศจรรย์ให้นักศึกษาดู